เตือนรับมือรัฐแก้เศรษฐกิจ
ใช้ปรับอัตราแลกเปลี่ยนนำ
นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักวิจัย ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เตือนนักลงทุนเตรียมพร้อมหากธนาคารแห่งประเทศไทยจะทบทวนนโยบายการเงิน และหันมาใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวนำในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ คาดอาจอ่อนค่าถึง 37.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ช่วงปลายปี2558 นี้และ 38 บาท ปลายปี 2559 หรืออาจแตะระดับ 40 บาทหากสงครามค่าเงินเดืด
สืบเนื่องจากสถานการณ์โลกเปลี่ยน จากสงครามค่าเงินที่ร้อนระอุขึ้นมาอีกครั้ง หลังจีนลดค่าเงินหยวน เวียดนามลดค่าเงินด่อง ธนาคารกลางอีกหลายแห่งพร้อมจะลดดอกเบี้ยพยุงส่งออก เช่น อินเดียและอินโดนีเซีย และมีความเสี่ยงประเทศที่มีการค้า การลงทุนเชื่อมโยงกับจีนจะเสียความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออก จนต้องปล่อยเงินให้อ่อนค่า อาทิ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และสิงคโปร์
ขณะเดียวกัน ประเทศไทยเองยังเผชิญทั้งศึกนอกและศึกในประเทศ กล่าวคือ เศรษฐกิจในประเทศชะลอจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่อ่อนแอ จากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและขาดความเชื่อมั่น ขณะที่ภาครัฐมีความล่าช้าในการลงทุนจากความกังวลเรื่องความโปร่งใสในการใช้จ่ายและรายได้ที่ไม่เข้าเป้า ส่วนศึกนอกก็คือการส่งออกที่หดตัว และเป็นการหดตัวปีที่ 3 ติดต่อกัน โดยที่ยังไม่แน่ใจว่าการส่งออกปีหน้าจะฟื้นได้จริงหรือไม่
“เมื่อสถานการณ์โลกเปลี่ยน ขณะที่อุปสงค์ในประเทศก็ชะลอ แต่มาจากปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ใช่ต้นทุนการเงินที่สูง จึงอาจมีความเป็นไปได้ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะทบทวนนโยบายการเงิน ซึ่งการกำหนดอัตราดอกเบี้ยในกรอบเป้าหมายเงินเฟ้อที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้รับแรงกดดันจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ลดลงค่อนข้างมาก และมีแนวโน้มที่ราคาน้ำมันจะอยู่ในระดับต่ำอีกนาน เมื่อเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ อัตราดอกเบี้ยก็จะคงอยู่ในระดับต่ำหรืออาจมีแรงกดดันให้ปรับลดลงเพื่อหวังกระตุ้นให้เงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น แต่เป็นที่ทราบว่าอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำเกิดจากราคาน้ำมัน ซึ่งยากที่จะใช้อัตราดอกเบี้ยแก้ไข
ด้วยอุปสรรคเช่นนี้อาจทำให้การส่งสัญญาณด้านทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยไม่สามารถทำได้เต็มที่ ในขณะที่การส่งออกจะต้องพลิกกลับมาเป็นตัวนำเศรษฐกิจอีกครั้งท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะงักงันเช่นนี้ เราจึงอยากเตือนนักลงทุนให้เตรียมความพร้อมหากธนาคารแห่งประเทศไทยจะมีการทบทวนนโยบายการเงิน และหันมาใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเป็นตัวนำนโยบายการเงิน แทนนโยบายอัตราดอกเบี้ย”
อย่างไรก็ดี มีความกังวลว่า ค่าเงินที่อ่อนจะกระทบผู้นำเข้า รวมทั้งผู้ส่งออกเองจะมีสัดส่วนการนำเข้ามาก แต่แน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงย่อมมีทั้งคนได้และคนเสียประโยชน์ และเชื่อว่าผู้ประกอบการไทยสามารถปรับตัวได้ เช่น ลดการนำเข้าและหันไปใช้ของที่ผลิตในประเทศแทน ซึ่งก็จะส่งผลให้เกิดการจ้างงาน การลงทุนเพิ่มเติม ขณะที่รายได้การส่งออกในรูปเงินบาทจะมากขึ้น อันจะส่งผลดีต่อการบริโภคและการชำระหนี้ของภาคเอกชน จนในที่สุดอุปสงค์ในประเทศจะเข้มแข็งขึ้น
นายอมรเทพ กล่าวว่า ท่ามกลางภาวะแบบนี้ นโยบายการเงิน คือการลดดอกเบี้ย เปรียบเป็นมาตรการเชิงรับมากกว่าเชิงรุก การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการเงินอีกครั้งด้วยการลดดอกเบี้ย จะทำได้เพียงรักษาเสถียรภาพ แต่ยังไม่สามารถฟื้นฟูเศรษฐกิจได้ อาจไม่สามารถนำเศรษฐกิจไทยพ้นจากกับดัก 4 ประการที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ได้ โดยกับดัก 4 ประการได้แก่ รายได้ สภาพคล่อง ความเชื่อมั่น และประชากร ซึ่งขอเรียกโดยย่อว่า กับดัก ABCD ดังนี้
A = Advanced Economy Trap/Middle Income Trap: กับดักที่ไทยไม่สามารถเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้ และยังคงวนเวียนอยู่ในประเทศรายได้ปานกลางต่อไป โดยเฉพาะเมื่อศักยภาพการเติบโตระยะสั้นนี้อาจมีได้เพียง 2-3% หากนิ่งเฉยไม่ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ ไม่ลองปรับเปลี่ยนนโยบายใหม่ ไทยจะก้าวผ่านจุดนี้ไปไม่ได้
B = Banking Trap/Liquidity Trap: กับดักสภาพคล่อง สินเชื่อเพื่อการลงทุนและการบริโภคไม่ได้เติบโตนัก แม้ที่ผ่านมาจะมีการลดดอกเบี้ยก็ตาม รวมทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูง รายได้ภาคเกษตรหดตัวแรงและมีแนวโน้มอยู่ในระดับต่ำอีกนาน จึงขาดกำลังซื้อ ไม่ใช่มาจากต้นทุนทางการเงินที่สูง
C= Confidence Trap: กับดักความเชื่อมั่น สาเหตุสำคัญมาจากปัญหาที่ผู้บริโภคและผู้ประกอบการยังขาดความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย ผู้ประกอบการยังไม่ลงทุนนำเข้าเครื่องจักรมาพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งเป็นสาเหตุที่การส่งออกหดตัว ไม่ใช่เพียงตลาดโลกอ่อนแอ แต่โครงสร้างการส่งออกไทยก็มีปัญหา มีมูลค่าเพิ่มต่ำ ไม่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก แม้บาทแข็งก็ไม่ลงทุน บาทอ่อนก็อาจลดแรงจูงใจในการนำเข้าได้ แต่ควรชี้ให้เห็นประโยชน์ของการใช้สินค้าวัตถุดิบทดแทนจากในประเทศแทนการนำเข้า ซึ่งจะทำเช่นนั้นได้ไทยต้องมีคุณภาพสินค้าที่ดีขึ้นจากการลงทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น หากไม่ใช้มาตรการบาทอ่อนมากระตุ้น นักลงทุนอาจยังไม่ปรับตัวเช่นเดิมได้
D = Demography Trap: กับดักประชากร ไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมสูงอายุ ขาดแคลนแรงงาน ซึ่งจะมีผลให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำลงกว่าปัจจุบันได้ ทั้งนี้ การลดดอกเบี้ยมีผลให้กำลังซื้อของผู้ออมเงินลดลง รายได้หรือความคาดหวังของผลตอบแทนของสินทรัพย์ในอนาคตอาจลดลง มีผลให้การบริโภคไม่โต ขณะที่หากมีการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยน จะได้เห็นการโยกย้ายแรงงานจากภาคเกษตรที่มีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจต่ำ มาสู่ภาคบริการและอุตสาหกรรมที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น แต่ต้องทำควบคู่ไปกับการพัฒนาฝีมือแรงงานด้วย
สำหรับประเด็น บาทอ่อน…ช่วยหรือทำร้ายผู้ส่งออกนั้น นายอมรเทพ กล่าวว่า แม้ว่ามาตรการอัตราแลกเปลี่ยนควรได้รับการพิจารณามาใช้กำหนดทิศทางเศรษฐกิจไทย แต่ก็ไม่อาจขับเคลื่อนภาคการผลิตและการส่งออกได้ หากไม่ได้รับความร่วมมือจากภาครัฐบาล ซึ่งควรให้การสนับสนุนการนำเข้าเครื่องจักร การพัฒนาด้าน R&D การพัฒนาประสิทธิภาพแรงงาน รวมถึงการเคลื่อนย้ายแรงงานออกจากภาคเกษตร ไม่เช่นนั้นแล้ว เงินบาทที่อ่อนค่าอาจดูเหมือนช่วยผู้ส่งออกในระยะสั้น แต่อาจทำร้ายผู้ส่งออกในระยะยาว เพราะแม้จะได้รับรายได้เป็นเงินบาทมากขึ้น แต่ผู้ส่งออกอาจจะกลับมาติดกับดักด้านการแข่งขันด้วยราคาจนละเลยการเพิ่มมูลค่าของสินค้า สุดท้ายการส่งออกโดยเฉพาะในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐฯก็จะกลับมามีปัญหาอยู่ดี
ด้านการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สำนักวิจัยฯคาดว่า GDP ปี 2558 จะเติบโตได้ 2.5% และหวังว่าปี 2559 น่าจะเติบโตได้ 3.3% ท่ามกลางความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่คาดจะมีสูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี ไม่ว่าจะเป็นความไม่แน่นอนในการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะกระทบต่อเงินทุนเคลื่อนย้าย การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน การลดลงของราคาน้ำมัน รายได้ภาคเกษตรหดตัวต่อเนื่อง และการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐที่อาจเลื่อนไปปีหน้า ซึ่งจะมีผลให้การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจโตต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าในเดือนธันวาคมปีก่อนที่ระดับ 3.3% เหลือเพียง 2.5%
ทั้งนี้ คาดว่า GDP ช่วงครึ่งปีหลัง จะโตได้เพียง 2.1% หลังจากที่ช่วงครึ่งปีแรกโตได้ 2.9% และจะโตในระดับที่ต่ำเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ใกล้เคียงกับสภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจ (Stagnation) พร้อมกับมีความเสี่ยงที่แรงส่งในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจากมาตรการต่างๆ อาจแผ่วแรงลง และหากมีความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกเพิ่มขึ้นก็จะมีความเป็นไปได้ที่ GDP อาจลดลงเทียบไตรมาสต่อไตรมาส 2 ไตรมาสติดกัน หรือภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) แต่ยังไม่น่ากังวลอะไรมากนัก เพราะคาดว่าเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นตัวได้ในปีหน้า หลังราคาน้ำมันมีเสถียรภาพ รายได้ภาคเกษตรเริ่มทรงตัวและปรับดีขึ้น การลงทุนภาคเอกชนเร่งตัวขึ้นหลังเห็นสัญญาณการลงทุนภาครัฐที่มีความชัดเจนขึ้น ประกอบกับการลงทุนจากต่างชาติจะเข้ามาใช้ไทยเป็นฐานในการเชื่อมโยงกับกลุ่ม CLMV ซึ่งพอจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อภาคเอกชนได้ดีขึ้น
ขณะที่อัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะคงไว้ที่ระดับ 1.50% ตลอดทั้งปีเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีอย่างค่อยเป็นค่อยไป และสำรองไว้ใช้หากเกิดความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้น แต่คาดว่าไทยพร้อมรับมือกับดอกเบี้ยขาขึ้นและอาจเห็นดอกเบี้ยที่ระดับ 1.75% ได้ปลายปีหน้า
ด้านค่าเงินบาทมีความผันผวนมากขึ้นตามความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่มากขึ้น ประกอบกับสงครามค่าเงินขยับใกล้เข้ามาในอาเซียนและพร้อมประทุอีกครั้ง จึงมีความเป็นไปได้ที่บาทจะอ่อนค่าไปได้ถึงระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงปลายปี แต่ขอเตือนผู้ส่งออกว่าอย่าชะล่าใจว่าบาทจะอ่อนค่าไปในทิศทางเดียวตลอด ระวังกลางเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ บาทอาจวกกลับมาแข็งค่าได้หากสหรัฐฯ เลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยออกไปก่อน ซึ่งจะมีผลให้เงินลงทุนกลับเข้ามาตลาดทุนได้ในระยะสั้น
แต่สุดท้ายเชื่อว่าไทยจะต้องหันมาใช้มาตรการบาทอ่อนเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในที่สุด และมีความเป็นไปได้ที่บาทจะไปแตะระดับ 38.00 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ปลายปีหน้า แต่หากสงครามค่าเงินประทุแรงขึ้น นำโดยจีนและประเทศที่มีการค้าเชื่อมโยงกับจีนแล้ว โอกาสที่บาทจะทะลุระดับ 40.00 ก็อาจจะได้เห็น ดังนั้นผู้นำเข้าควรระมัดระวังความผันผวน ด้วยการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินไว้