มว.ไทย-เยอรมันเสริมแกร่ง
ดันไทยศูนย์มาตรฐานเอเชีย
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยนายประยูร เชี่ยววัฒนา ผอ.มว. และ สถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี โดยศ. ดร.โยอาคิม อูลล์ริค ประธานสถาบันฯ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานมาตรวิทยาด้านการวัด ปูทางสู่การยกระดับและประกันคุณภาพสินค้าและนวัตกรรม หนุนเศรษฐกิจ พร้อมดันไทยศูนย์มว.เอเชียเอเชีย
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งร่วมเป็นสักขีพยานในการลงนามความร่วมมือพร้อมนายเพเทอร์ พรือเกล เอกอัครราชทูตสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีประจำประเทศไทยกล่าวว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เล็งเห็นความสำคัญในการวางรากฐานทางเศรษฐกิจที่จะยกระดับสินค้าไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้เป็นก้าวสำคัญของประเทศไทย ที่มีความร่วมมือกับสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีซึ่งเป็นหน่วยงานสถาบันมาตรวิทยาชั้นนำของโลก และเป็นแม่แบบขององค์กรทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มีบทบาทผลักดันการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางคุณภาพ ซึ่งเป็นโครงสร้างเชิงบูรณาการที่มีทั้งระบบมาตรวิทยา ระบบการมาตรฐาน ระบบการทดสอบ และระบบการบริหารคุณภาพในระดับนานาชาติ ซึ่งอยู่ในจังหวะที่ประเทศไทยกำลังเร่งบูรณาการการบริการของระบบนี้ภายใต้ชื่อ MSTQ (Metrology, Standard, Testing, Quality) ดังนั้นความร่วมมือกับหน่วยงานระดับนานาชาติเพื่อพัฒนาระบบมาตรวิทยาระหว่างประเทศ และระบบมาตรฐานระหว่างประเทศ จึงมีความสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาประเทศสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืน
“การลงนามครั้งนี้จะยกระดับความร่วมมือสู่การร่วมวิจัยและพัฒนามาตรฐานการวัดที่มีความแม่นยำสูง วิธีการวัดและทฤษฎีใหม่ๆ ซึ่งจะนำไปสู่นวัตกรรมการวัด รวมทั้งจะนำไปสู่ความร่วมมือด้านวิชาการระหว่างประเทศในภูมิภาคเอเชีย เพิ่มขีดความสามารถด้านมาตรฐานและคุณภาพอันเป็นรากฐานของเศรษฐกิจ เพิ่มโอกาสให้สินค้าเข้าสู่ตลาดโลกได้มากขึ้น”
ด้านนายประยูร เชี่ยววัฒนา ผู้อำนวยการ มว. กล่าวว่า มว. ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันมาตรวิทยาแห่งสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีในช่วงการก่อตั้งตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นสถาบันมาตรวิทยาเก่าแก่ที่สุดในโลกมีอายุ 111 ปีในขณะนั้น มากระทั่งถึงปี พ.ศ. 2551 ซึ่งให้คำแนะนำถึงระบบคุณภาพรวมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญและแลกเปลี่ยนวิทยาการจนสามารถผลิตนักมาตรวิทยาที่มีศักยภาพ และร่วมพัฒนาองค์ความรู้ด้านมาตรวิทยาในสาขาต่างๆ และมีห้องปฏิบัติการสอบเทียบที่ได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับในระดับสากล จึงทำให้กลุ่มประเทศในภูมิภาคเอเชียเข้ามาขอความช่วยเหลือเพื่อพัฒนาระบบคุณภาพ และความสามารถด้านการวัดที่ใช้สอบเทียบเครื่องมือด้านการวิจัยและการผลิตในภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการให้บริการฝึกอบรมด้านมาตรวิทยาและการวัดทั้งในและต่างประเทศ จากเหตุดังกล่าว มว.จึงต่อยอดกิจกรรมดังกล่าว เพื่อให้นักมาตรวิทยาของ มว. ได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือในการเป็นพี่เลี้ยงและผู้เชี่ยวชาญในระดับแนวหน้า เพื่อเป็นศูนย์กลางให้ความช่วยเหลือทางเทคนิคและการฝึกอบรมด้านมาตรวิทยาในภูมิภาคเอเชีย
“ความสัมพันธ์กับมว.ไทยและมว.เยอรมนีขยับฐานะจากอาจารย์และลูกศิษย์มาเป็นผู้ช่วยอาจารย์และเป็นหุ้นส่วนกัน สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้จะเน้นเรื่องหลัก 3 เรื่อง ได้แก่ การแลกเปลี่ยนบุคลากร การร่วมวิจัยเพื่อพัฒนาสาขาด้านการวัดและสาขาอื่น ๆ ที่สนใจและเป็นพันธมิตรเพื่อสนับสนุนให้มว.ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและจัดอบรมให้ความรู้แก่ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค”
นายประยูรเปิดเผยด้วยว่า จากความร่วมมือกันครั้งนี้ ทั้ง 2 ฝ่ายจะทำวิจัยร่วมกัน 2 เรื่องในเร็ว ๆนี้ได้แก่ การวิจัยเกี่ยวกับมาตรฐานทางไฟฟ้าที่เรียกว่า มาตรฐานแรงดันไฟฟ้าโจเซฟสัน (Josephson Junction Voltage Standard) เป็นมาตรฐานระดับปฐมภูมิทางด้านแรงดันไฟฟ้าที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
โดยมาตรฐานแรงดันไฟฟ้า โจเซฟสันสามารถให้ค่าแรงดันไฟฟ้าที่มีค่าคงที่และมีความถูกต้องสูงและให้ค่าความถูกต้องอยู่ที่ประมาณ 10-9 ฉะนั้น ค่าความถูกต้องของแรงดันไฟฟ้านี้ จะถ่ายทอดไปยังเครื่องมือวัดทางไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อใช้ตรวจสอบมาตรฐานและคุณภาพของผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นเงื่อนไขหนึ่งทางการค้า ที่มีความต้องการระบบรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์และบริการสูง จนทำให้เชื่อมั่นได้ว่าทุกกิจกรรมต่างๆ ที่มีการวัดด้านไฟฟ้าเข้าไปเกี่ยวข้อง จะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้ โดยค่าการวัดมีความสามารถสอบกลับได้ไปยังมาตรฐานแห่งชาติ ตลอดจนเป็นที่ยอมรับของต่างประเทศ อันจะส่งผลให้ผู้บริโภคและประชาชนได้รับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เพื่อมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ส่วนการร่วมวิจัยอีกด้านได้แก่ วิจัยเรื่อง การทดสอบลดความสูญเสียพลังงานของหม้อแปลงไฟฟ้า ซึ่งไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้อยู่ โดยในไทยมีบริษัททำธุรกิจหม้อแปลงไฟฟ้าอยู่เพียง 4-5 บริษัทเท่านั้น ถ้าผลักดันงานวิจัยด้านนี้ได้อุตสาหกรรมด้านนี้จะมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก