SME Bank7ด.กำไร706ล้าน
เร่งปล่อยกู้SMEsดอกถูก4%
เอสเอ็มอีแบงก์เผย 7 เดือน ปี 2558 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 706 ล้านบาท มีผู้ประกอบการ SMEs ติดต่อขอสินเชื่อวงเงิน 8,208 ล้านบาท 1,682 ราย เป็นSMEsที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว 68.94 % ลด NPLs ได้ 4,809 ล้านบาท ณ สิ้น ก.ค. 2558 เหลือ NPLs 27,151 ล้านบาท นอกจากนี้ยังเปิดหน่วยบริการการเงินที่ศูนย์One Stop Service อ.แม่สอด จ.ตาก สนับสนุนเงินทุนผู้ประกอบการ
นางสาลินี วังตาล ประธานกรรมการ และนายสุพจน์ อาวาส กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (เอสเอ็มอีแบงก์) แถลงผลการดำเนินงาน 7 เดือน (ม.ค.-ก.ค.) ปี 2558 มีกำไรสุทธิเท่ากับ 706 ล้านบาท โดยมีผลกำไรต่อเนื่องนับตั้งแต่คณะกรรมการเอสเอ็มอีแบงก์ชุดปัจจุบันได้เข้ามาบริหารงานในเดือน ส.ค. 2557 จนถึงปัจจุบัน โดยในช่วงเดือน ก.ค. 2558 มีกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท ดีกว่าประมาณการตามแผนปี 2558 ทั้งนี้เป็นผลมาจากดอกเบี้ยรับจากการปล่อยสินเชื่อจากธนาคารเพิ่มขึ้น สินเชื่อมีคุณภาพดีขึ้นลดภาระที่ต้องกันสำรอง และธนาคารสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานและต้นทุนเงินได้เป็นไปตามแผนงาน
ณ วันที่ 19 ส.ค.2558 ธนาคารได้ปล่อยสินเชื่อใหม่ไปแล้ว 19,256.46 ล้านบาท ทั้งหมดเป็นลูกหนี้สินเชื่อไม่เกิน 15 ล้านบาท จำนวน 8,711 ราย และ ณ สิ้นเดือน ก.ค.2558 มียอดสินเชื่อคงค้าง 86,140 ล้านบาท อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS Ratio) เท่ากับ 10.05 % ส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)ธนาคารสามารถลด NPLs ได้จำนวน 4,809 ล้านบาท โดย ณ สิ้น ก.ค. 2558 มี NPLs คงเหลือ 27,151 ล้านบาท (คิดเป็น 31.52% ของสินเชื่อรวม)
ในส่วนสินเชื่อ Policy Loan ดอกเบี้ยต่ำ 4% ณ วันที่ 19 ส.ค. 2558 มีผู้ประกอบการ SMEs ติดต่อขอสินเชื่อวงเงิน 8,208 ล้านบาท 1,682 ราย โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นผู้ประกอบการ SMEsที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว 68.94 % (วงเงิน 5,659 ล้านบาท 1,281 ราย) แบ่งประเภทและวงเงินสินเชื่อดังนี้ 1. SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัว จำนวน 1,281 ราย วงเงิน 5,659 ล้านบาท 2. SMEs ที่เป็นผู้ประกอบการใหม่ (New/Start up) ที่มีนวัตกรรม มี 32 ราย วงเงิน 221 ล้านบาท 3. SMEs ขนาดย่อมที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มสามารถเติบโตไปสู่ขนาดกลางได้ จำนวน 160 ราย วงเงินสินเชื่อ 906 ล้านบาท วงเงิน 1,422 ล้านบาท 4. SMEs ที่มีความประสงค์ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดในกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN)จำนวน 160 ราย 906 ล้านบาท
ทั้งนี้ ธนาคารสามารถอนุมัติได้แล้ว 510.15 ล้านบาท 158 ราย โดยการพิจารณาในช่วงต้นค่อนข้างช้า เพราะมีประเด็นเรื่องคำนิยามว่าเป็นลูกหนี้ที่ถูกผลกระทบทางเศรษฐกิจหรือไม่ ซึ่งธนาคารได้ซักซ้อมความเข้าใจกับสาขาทั่วประเทศแล้ว จึงเชื่อว่า ในระยะต่อไปจะสามารถดำเนินการปล่อยกู้ได้ดีขึ้น
ทางด้านกองทุนร่วมลงทุนในกิจการ SMEs กองย่อยกองที่ 1 (Venture Capital) วงเงิน 500 ล้านบาท ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อ 6 ก.ค. 2558 ว่ามี SMEs 4 ราย ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมกองทุน นั้น ขณะนี้ เอสเอ็มอีแบงก์ และผู้จัดการ ทรัสต์ (Trust Manager) ซึ่งทำหน้าที่พี่เลี้ยง กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการขยายกิจการของ SMEs ทั้ง 4 รายในรายละเอียด เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่ธนาคารจะเข้าร่วมลงทุน ซึ่งตั้งเพดานไว้รายละไม่เกิน 30 ล้านบาท นอกจากนั้นยังได้คัดเลือก SMEs ที่อยู่ในข่ายที่จะเข้าร่วมลงทุนเพิ่มได้อีก 4 ราย เป็นธุรกิจในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ 2 ราย อุตสาหกรรมพื้นฐาน 1 ราย และอุตสาหกรรมแปรรูปจากพืชผลทางการเกษตร 1 ราย
นอกจากนี้เอสเอ็มอีแบงก์ยังเปิดหน่วยบริการทางการเงิน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งเป็นการรวมหน่วยงานภาครัฐเปิดเป็น One Stop Service ตั้งอยู่ที่อาคารสำนักงานเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก โดยเอสเอ็มอีแบงก์ เป็นธนาคารเดียวที่เปิดให้บริการในศูนย์ดังกล่าวและมีหน่วยงานอื่น ๆ ที่รวมจัดตั้งในศูนย์ ประกอบด้วย สำนักงานพัฒนาธุรกิจการค้า สำนักงานแรงงานจังหวัดตาก สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตาก สสว. บีโอไอ บสย. และหน่วยงานตรวจคนเข้าเมือง ทั้งนี้ การเปิดศูนย์ดังกล่าว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการ SMEs ที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษตาก ซึ่งมีพื้นที่อยู่ติดชายแดนประเทศเมียนม่าร์ สามารถเป็นประตูเปิดการค้าขายสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งมีมูลค่าการค้าขายในพื้นที่นี้ประมาณ 60,000 ล้านบาท และ เอสเอ็มอีแบงก์ พร้อมให้การสนับสนุนเงินทุนผู้ประกอบการในการขยายการค้าการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษตากดังกล่าว ด้วยสินเชื่อหลากหลายโดยเฉพาะสินเชื่อ Policy Loan ดอกเบี้ยต่ำ 4%