สมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมเครือข่ายลดบริโภคเค็มแถลง มาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร
นายกสมาคมเพื่อนโรคไตแห่งประเทศไทย ร่วมกับเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ภายใต้โครงการสำรวจข้อมูลโภชนาการในผลิตภัณฑ์อาหาร 2567 สุ่มสำรวจอ่านฉลากค่าโซเดียมกลุ่มขนมขบเคี้ยว จำนวน จำนวน 352 ตัวอย่าง กลุ่มอาหารแช่เย็น แช่แข็งสำหรับอุ่นร้อนพร้อมรับประทาน จำนวน 60 ตัวอย่าง และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป (อาหารพร้อมบริโภคและอาหารกระป๋อง) จำนวน 48 ตัวอย่าง ได้จัดแถลงข่าวมาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร สถานการณ์และผลสุ่มสำรวจโซเดียม กลุ่มขนมขบเคี้ยว กลุ่มอาหารแช่เย็น-แช่แข็ง และกลุ่มอาหารสำเร็จรูป ปี 2568 เพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันการอ่านฉลากและเตือนภัยใกล้ตัว Sodium คือบ่อเกิดของโรค NCDs เตือนอ่านฉลากก่อนเลือกบริโภค โดยมีวัตถุประสงค์ 1. เพื่อสร้างความตระหนักรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดูฉลากอาหารและการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยต่อสุขภาพ 2. เพื่อรณรงค์ให้เกิดการแก้ไขกฎหมายหรือข้อบังคับเกี่ยวกับการลดปริมาณโซเดียมในอาหาร 3. เพื่อสนับสนุนให้เกิดมาตรการของรัฐเกี่ยวกับการเก็บภาษีโซเดียม เน้นสร้างแรงจูงใจในการปรับสูตรอาหารในทางธุรกิจ 4. เพื่อสำรวจการแสดงข้อมูลโภชนาการและปริมาณโซเดียมบนฉลากอาหารของเครื่องปรุงรส อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ

รศ.นพ. สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็ม กล่าวถึง“มาตรการลดโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารและสถานการณ์โรค NCDs” ว่า ในปี 2564 โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกอย่างน้อย 43 ล้านคน ซึ่งเท่ากับ 75% ของการเสียชีวิตที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคระบาด โดยโรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุส่วนใหญ่ของการเสียชีวิตจากโรคไม่ติดต่อ (NCDs) รองลงมาคือมะเร็ง โรคทางเดินหายใจเรื้อรัง และเบาหวาน (รวมถึงการเสียชีวิตจากโรคไตที่เกิดจากเบาหวาน) สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการบริโภคอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ รสชาติหวาน มัน เค็มจัด ในประเทศสหรัฐอเมริกา การศึกษาสุขภาพประชากร พ.ศ. 2561 สำรวจประชากรเด็กอายุ 5-18 ปี ตรวจพบความดันเลือดสูงร้อยละ 5.5 และ มีภาวะโรคอ้วนร้อยละ 19.5 ซึ่งข้อมูลล่าสุด ในกลุ่มตัวอย่างในเด็กอายุ 2 ถึง 18 ปี มีการประเมินสุขภาพและโภชนาการผ่านแบบสอบถาม การตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ พบว่า ความชุกของโรคอ้วนในเด็กเพิ่มขึ้น โดยภาวะโรคอ้วนรุนแรงมาก มีการเพิ่มขึ้นสูงสุดถึง 253.1% ในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาและพบว่าโรคอ้วนในเด็กมีความสัมพันธ์กับภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคไขมันพอกตับที่สัมพันธ์กับความผิดปกติของระบบเผาผลาญ (MASLD), เบาหวานชนิดที่ 2, ไขมันในเลือดผิดปกติ และความดันโลหิตสูง ส่วนในประเทศไทยมีผู้ป่วยผู้ใหญ่โรค NCDs จำนวนมากเช่นกัน ได้แก่ โรคไตกว่า 8 ล้านคน ความดันโลหิตสูงถึง 13 ล้านคน และเบาหวานกว่า 5.2 ล้านคน

ด้าน รศ.นพ. ขวัญชัย ไพโรจน์สกุล สาขาวิชาโรคไต ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงผลเสียของการบริโภคโซเดียมมากเกินไปในเยาวชนว่า พฤติกรรมการบริโภคของเด็กไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่สามารถเข้าถึงอาหารที่มีปริมาณโซเดียมสูงง่ายขึ้น พฤติกรรมดังกล่าวจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความดันเลือดสูง การศึกษาในต่างประเทศพบว่าเด็กที่มีภาวะความดันเลือดสูงจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดในอีก 20 ปีต่อมา โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นประมาณ 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับเด็กที่ไม่มีภาวะความดันเลือดสูง สำหรับข้อมูลในประเทศไทย การศึกษาสุขภาพประชากรไทยโดยการตรวจร่างกาย (Thai National Health and Examination Survey) ครั้งที่ 6 ปี พ.ศ. 2562-2563 ได้สำรวจประชากรเด็กไทยอายุ 10-19 ปี จำนวนกว่า 4,000 ราย พบว่า ร้อยละ 95 บริโภคโซเดียมเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่แนะนำ และร้อยละ 10 ตรวจพบความดันเลือดสูง
นอกจากนี้ การศึกษายังพบความสัมพันธ์ของความดันเลือดที่สูงขึ้นคู่ไปกับการบริโภคโซเดียมที่สูงขึ้น หมายถึง การบริโภคโซเดียมยิ่งมากจะตรวจพบความดันเลือดสูงยิ่งสูงขึ้นไปด้วย ดังนั้น การรณรงค์เพื่อลดปริมาณการบริโภคโซเดียมในเด็กไทย เป็นเรื่องที่สังคมควรให้ความสำคัญเพื่อลดการเกิดภาวะแทรกซ้อนของภาวะความดันเลือดสูงในเด็กเหล่านี้เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ในอนาคต
ด้าน นพ. กฤษฎา หาญบรรเจิด ผู้อำนวยการกองโรคไม่ติดต่อ กรมควบคุมโรค กล่าวถึง มาตรการภาครัฐในการดำเนินงานเพื่อลดการบริโภคโซเดียมว่า ภาครัฐให้ความสำคัญกับการจัดการปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง NCDs สาเหตุหนึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม การบริโภคเกลือและโซเดียมมากเกินไป คนไทยมีการบริโภคเกลือและโซเดียมสูงเกือบ 2 เท่า ของปริมาณที่องค์การอนามัยโลกแนะนำไว้ว่า ไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเกลือแกง 1 ช้อนชา ส่งผลต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูง และนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง โรคไตเรื้อรัง เป็นต้น มาตราการลดการบริโภคโซเดียมนี้ เป็นหนึ่งในมาตรการที่มีความคุ้มค่าสูง (Best buys) และควรดำเนินการเพื่อป้องกันควบคุมโรค NCDs ในระดับประชากร โดยประเทศไทยรับมติสหประชาชาติในการติดตามผล 9 เป้าหมายของการป้องกันควบคุมโรคไม่ติดต่อระดับโลก (9 Global target) ซึ่งการลดการบริโภคโซเดียมเป็น 1 ใน 9 เป้าหมาย โดยกำหนดตัวชี้วัดค่าเฉลี่ยปริมาณการบริโภคโซเดียมให้ลดลงร้อยละ 30 ภายใน ปี พ.ศ. 2568 ในปี พ.ศ.2568 (เทียบจากปี พ.ศ. 2552) สมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 8 พ.ศ. 2558 มีมติรับรองนโยบายการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรค NCDs และมอบหมายให้ กรมควบคุมโรค ร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายจัดทำ “ยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559 – 2568” หรือ SALTS มุ่งลดการป่วย การตายก่อนวัยอันควรจากโรค NCDs ลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม โดยผลักดันขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ฯ ผ่านคณะกรรมการนโยบายการลดบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อลดโรคไม่ติดต่อระดับชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นประธาน โดยมาตรการภาครัฐในการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม มี 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. การให้ความรู้และส่งเสริมให้ผู้บริโภคและประชาชนมีความตระหนักรู้ความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการบริโภคเกลือและโซเดียมเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมลดการบริโภคเค็ม โดยพบว่าคนไทยได้รับโซเดียมส่วนใหญ่ในอาหารจากการใช้เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมสูงในการประกอบอาหารรับประทานเอง (ร้อยละ 71) รวมถึงสารประกอบโซเดียมอื่น ๆ ที่มีการเติมในกระบวนการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป อาหารสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ เช่น ผงชูรส (โมโนโซเดียมกลูตาเมต) เบกกิ้งโซดา (โซเดียมไบคาร์บอเนต) ผงฟู สารปรับความเป็นกรดด่างในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ (ไดโซเดียมฟอสเฟต) เป็นต้น จึงให้ความสำคัญกับการเผยแพร่ความรู้ที่ถูกต้องและนำไปปฏิบัติได้ง่าย สื่อสารประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางสื่อต่าง ๆ เช่น ส่งเสริมการอ่านฉลากโภชนาการแบบ GDA/ข้อมูลโภชนาการบนผลิตภัณฑ์อาหาร (Front of pack) ส่งเสริมการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีตราสัญลักษณ์ “ทางเลือกสุขภาพ (Healthier Choice Logo)”การใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องปรุงรสที่มีโซเดียมต่ำและสนับสนุนให้ อสม. ใช้ Salt meter ในการตรวจวัดโซเดียมในอาหารของครัวเรือนที่รับผิดชอบเพื่อสร้างความตระหนักให้แก่ประชาชน

2. การพัฒนาผลิตภัณฑ์/ปรับสูตรลดปริมาณเกลือและโซเดียมทั้งในผลิตภัณฑ์อาหาร อาหารท้องถิ่นและอาหารปรุงสุกที่จำหน่าย ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคอุตสาหกรรม ผู้ขาย/ผู้ประกอบการร้านอาหาร เร่งรัดมาตรการกำหนดเพดานปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหารสำเร็จรูป ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ ที่มีโซเดียมต่ำ เพิ่มความตระหนักรู้ในกลุ่มผู้ประกอบการร้านอาหารในการปรับสูตรอาหารลดโซเดียม กรมควบคุมโรค สนับสนุนการพัฒนาครู นักกำหนดอาหารประจำจังหวัด และครู ข แกนนำปรับสูตรอาหารท้องถิ่นลดโซเดียม เพื่อให้เข้ามามีส่วนร่วมในการปรับสูตรลดเกลือและโซเดียมในผลิตภัณฑ์ OTOP อาหารท้องถิ่น และอาหารปรุงสุกที่จำหน่าย และ 3. การปรับสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ส่งเสริมให้ผู้บริโภคและประชาชนเข้าถึงอาหารที่ดีต่อสุขภาพได้ง่ายหรือมีเมนูชูสุขภาพจำหน่ายทั้งภายในและบริเวณโดยรอบโรงเรียน โรงพยาบาล สถานที่ทำงาน หรือสถานประกอบการต่าง ๆ การขับเคลื่อนการดำเนินงานชุมชนลดเค็มและการป้องกันควบคุมโรคไตในชุมชน สนับสนุนให้ผู้ประกอบการและภาคอุตสาหกรรมปรับสูตรผลิตภัณฑ์ลดโซเดียมและขอรับรองตราสัญลักษณ์ผลิตภัณฑ์ “ทางเลือกสุขภาพ Healthier Choice Logo” (ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรอง 3,411 รายการ ใน 15 กลุ่มผลิตภัณฑ์ จาก 542 บริษัท) ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการจัดเก็บภาษีโซเดียม ซึ่งถือเป็นมาตรการกระตุ้นผู้ประกอบการอาหารปรับสูตรลดปริมาณโซเดียมให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด เพื่อสร้างทางเลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้กับผู้บริโภค และขับเคลื่อนชุมชนลดเค็ม ห่างไกลโรคไม่ติดต่อ
สุดท้ายนี้ กรมควบคุมโรค บูรณาการความร่วมมือกับภาคีเครือข่ายเพื่อป้องกันและลดความเสี่ยงต่อโรค NCDs มุ่งมั่นผลักดันมาตรการลดการบริโภคเกลือและโซเดียม จึงได้มีการขยายระยะเวลาการดำเนินงานยุทธศาสตร์ลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทย ปี พ.ศ. 2559 – 2568 ถึงปี พ.ศ. 2570 และดำเนินการ (ร่าง) แผนปฏิบัติการลดการบริโภคเกลือและโซเดียมในประเทศไทยในระยะต่อไป (พ.ศ. 2571 – 2575)
ด้าน ดร. สุชีรา บันลือสินธุ์ องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวถึง แนวทางและมาตรการลดการบริโภคโซเดียม (ในผลิตภัณฑ์อาหาร) ดังนี้ องค์การอนามัยโลกได้พัฒนาแนวทางและแนะนำมาตรการที่มีประสิทธิภาพให้แก่ประเทศดำเนินการ เพื่อช่วยให้ประชาชนลดการบริโภคโซเดียมลงได้ตามเป้าหมาย ทั้งนี้ การลดการบริโภคโซเดียมเป็นมาตรการที่คุ้มค่า ทำได้จริง และช่วยเสริมสร้างสุขภาพของประชน ลดการเจ็บป่วย ค่ารักษาพยาบาล ลดความสูญเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมจากโรคไม่ติดต่อ องค์การอนามัยโลกแนะนำให้ดำเนินมาตรการระดับประเทศเหล่านี้ ในทุกๆ ด้านเพื่อลดการบริโภคโซเดียมของประชาชน
1. การปรับลดปริมาณโซเดียมในอาหาร โดยร่วมกับภาคอุตสาหกรรมในการกำหนดเพดานปริมาณโซเดียม หรือตั้งเป้าหมายแบบบังคับเพื่อลดปริมาณโซเดียมในผลิตภัณฑ์อาหาร นอกจากนี้ยังสามารถใช้นโยบายทางการคลัง เช่น เก็บภาษีอาหารโซเดียมสูง หรือให้เงินสนับสนุนเพื่อส่งเสริมการเข้าถึงอาหารลดโซเดียมและดีต่อสุขภาพ
2. นโยบายการจัดหาและจัดซื้ออาหารเพื่อการบริโภคที่ดีต่อสุขภาพในหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยการกำหนดแนวทางการจัดหาอาหารที่ดีต่อสุขภาพและดำเนินการในหน่วยงานภาครัฐ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานที่ทำงาน เป็นต้น
3. การมีฉลากบรรจุภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพ และหลีกเลี่ยงอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพได้ง่าย เช่น ฉลากคำเตือนหรือไฟจราจร
4. การรณรงค์สร้างความตระหนักและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคให้ลดการบริโภคโซเดียมลง ซึ่งต้องทำควบคู่ไปกับมาตรการต่างๆ ข้างต้น









